วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2563

บันทึกการเรียนครั้งที่ 7

วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม 2563
เวลา 12.30-16.30


ความรู้ที่ได้รับ


วันนี้ เรียนเกี่ยวกับเรื่อง STEM และหลังจากนั้นอาจารย์ก็ให้จับคู่ทำงาน เกี่ยวกับการทดลอง วิชา วิทยาศาสตร์และให้ส่งไฟลืเข้าไปในเฟสบุ๊ค 

STEM คือ

    เป็นรูปแบบการจัดการศึกษาที่บูรณาการกลุ่มสาระและทักษะกระบวนการของทั้ง 4 สาระ อันได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ โดยนำลักษณะธรรมชาติของแต่ ละสาระวิชาและกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนมาผสมผสานกันเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่สำคัญและจำเป็น


Science(วิทยาศาสตร์) จะเน้นให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้โดยผ่านกระบวนการที่เรียกว่า กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (InquiryProcess) ที่จะประกอบด้วยขั้นตอน 
  1. ขั้นการสร้างความสนใจ เป็นขั้นของการนำเข้าสู่บทเรียน  
  2. ขั้นสำรวจและการค้นหา  
  3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป   
  4. ขั้นขยายความรู้ เป็นการนำความรู้มาเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม ขึ้น 


  5. ขั้นการประเมิน เป็นการประเมินการเรียนรู้ด้วยกระบวนการต่างๆ ว่าผู้เรียนได้เกิดการ เรียนรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด

เทคโนโลยี (Technology) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2557) ระบุขั้นตอนในกระบวนการทางเทคโนโลยีประกอบด้วย 7 ขั้นดังนี้ 
  1. กำหนดปัญหาหรือความต้องการ 
  2. รวบรวมข้อมูล โดยอาจจะรวบรวมข้อมูลจากตำรา วารสาร บทความ อินเทอร์เน็ต 
  3. เลือกวิธีการ เป็นการพิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการแก้ปัญหา 
  4. ออกแบบและปฏิบัติการ 
  5. ทดสอบ เป็นการตรวจสอบว่าชิ้นงานหรือวิธีที่สร้างขึ้นสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ 
  6. ปรับปรุงแก้ไข เป็นการวิเคราะห์ว่าชิ้นงานหรือวิธีที่สร้างขึ้นจะปรับแก้ไขส่วนใด 
  7. ประเมินผล เป็นการประเมินผลว่าชิ้นงานหรือวิธีที่สร้างขึ้นสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่

วิศวกรรมศาสตร์(Engineering)  กระบวนการออกแบบของวิศวกรรมศาสตร์ ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้ 
  1.กำหนดปัญหา หรือความต้องการ 
  2.หาแนวทางการแก้ปัญหา 
  3.ลงมือปฎิบัติเพื่อแก้ปัญหา 
  4.ทดสอบและประเมินผล

คณิตศาสตร์ (Mathematics)  สำหรับสาระและทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์จะครอบคลุมเรื่องจำนวนและกระบวนการ การวัด เรขาคณิต พีชคณิต การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น และ ทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์



รูปในการเรียน

ในภาพอาจจะมี 6 คน, รวมถึง Jintana Suksumran


ในภาพอาจจะมี 5 คน, ข้อความ


กิจกรรมวิทยาศาสตร์คู่ 















ประเมินอาจารย์ : เนื้อหาน่าสนใจ มีการกระตุ้นนักศึกษาให้ตอบคำถาม อธิบายงานได้เข้าใจมีตัวอย่างให้ดู
ประเมินเพื่อน : ตั้งใจเรียน มาเรียนตรงเวลา มีส่วนร่วมในการตอบคำถาม
ประเมินตนเอง : มีส่วนร่วมในการตอบคำถาม ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย ส่งงานตรงเวลา






วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2563

บันทึกการเรียนครั้งที่ 6

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563
เวลา 12.30-16.30

ความรู้ที่ได้รับ

สัปดาห์นี้เป็นการเรียนทาง ออนไลน์ เนื่องทางติดสถานการณ์ COVID - 19 ทางมหาวิทยาลัยจึงมีการให้เรียนออนไลน์

วันนี้เรียนเกี่ยวกับเนื้อหาคำคล้องจอง โดยอาจารย์ให้เเบ่งกลุ่ม 3 คนทำงาน ตามที่กำหนดให้


งานเเรก นิทาน



งานที่ สอง เเต่งคำคล้องจอง



งานที่ สาม ปริศนาคำทาย



งานที่ สี่ กิจกรรมส่งเสริมการฟัง





ประเมินอาจารย์ : มีการเอาใจใส่นักศึกษา ให้คำแนะนะ คำปรึกษา สื่อการสอนน่าสนใจดึงดูด
ประเมินเพื่อน : สนใจเรียน มีส่วนร่วมในการตอบคำถาม
ประเมินตนเอง : สนใจเรียน จดบันทึกสิ่งที่สำคัญ









วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2563

บันทึกการเรียนครั้งที่ 5

วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม 2563
เวลา 12.30-16.30


ความรู้ที่ได้รับ

วันนี้อาจารย์ให้ทำกิจกรรมความคิดสร้างสรรค์ โดยอาจารย์เปิดเพลง พรจากฟ้าที่มีท่าทาง และให้นักศึกษาไปคิดท่าทางเเต่ล่ะกลุ่ม โดยให้ใช้เพลง ปฐมวัยมาเเล้ว

เนื้อเพลง ปฐมวัยมาเเล้ว

ปฐมวัยมาเเล้ว       มาเเล้วปฐมวัยน้องพี่
ไหน ไหน ไหน             ปฐมวัยน้องพี่
            ปฐมวัยน้องพี่ไม่มีราวร้าน            โลหิตสายเดียวกลมเกลียวกันให้นาน
อย่าให้เเตกเเยกกันเป็นสายธาร       อย่าให้เเตกเเยกกันเป็นสายธารา




ประเมินอาจารย์ : เนื้อหาน่าสนใจ มีกิจกรรมให้ทำมากมาย สอนตรงเวลา
ประเมินเพื่อน : ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน เข้าเรียนตรงเวลา
ประเมินตนเอง :ตั้งใจในการทำงาน แต่งกายสุภาพ








วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

บันทึกการเรียนครั้งที่ 4

วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563
เวลา 12.30-16.30


ความรู้ที่ได้รับ


สัปดาห์นี้ เรียนเรื่อง การเล่นเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์


“การเล่นเพื่อการพัฒนาเด็ก”
การเล่นเป็นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งสำหรับเด็ก เพราะการเล่นเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเด็กการเล่นเป็นธรรมชาติของเด็ก
และเป็นโอกาสที่เด็กจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ ได้ด้วยตนเองการเล่นนอกจากจะเป็นธรรมชาติของเด็กแล้วยังเป็นกิจกรรม
ที่ให้ความสุขสนุกสนานเพลิดเพลินแก่เด็ก โดยไม่มีการบังคับใดๆ ทั้งนั้น ยังเป็นวิธีการหรือแนวทางที่จะช่วยให้เด็กสามารถปรับตัวและ
เปลี่ยนแปลงความคิดความเข้าใจสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงรอบๆ ตัว ให้เป็นผู้ที่มีความสามารถที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
การเล่นพัฒนาเด็กอย่างไร เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การเล่นให้คุณค่าและเป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีสำหรับเด็ก เช่น ถ้าเราสังเกตการเล่นน้ำ
เล่นทราย การเล่นต่อบล็อก การเล่นตามมุมประสบการณ์ต่างๆ ฯลฯ จะเห็นว่า เด็กจะตั้งใจเล่นอย่างขะมักเขม้น มีสมาธิในการเล่นและมีโลกส่วนตัว
ดังนั้น การเล่นจึงเป็นชีวิตจิตใจของเด็ก เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทั้งตามธรรมชาติและมีเครื่องเล่นทางการศึกษาเข้าช่วยนักการศึกษาและครูสาขาการปฐมวัยศึกษา
มีความเห็นตรงกันว่า \"การเล่น\" เป็นวิธีการเรียนรู้ของเด็ก ที่ไม่มีใครสามารถเสนอให้รู้ได้ เพราะเด็กได้สืบค้นด้วยตัวเอง
ได้พาตัวเองให้รู้จักโลกที่แท้จริง ได้รู้จักเวลาสถานที่ สิ่งของ สัตว์ รูปทรงต่าง ๆ และมนุษย์ กล่าวโดยสรุปก็คือ\"การเล่นคืองานของเด็ก\"
การเล่นสิ่งที่เด็กพอใจ สุขใจ ได้สนุก ร่าเริง และนี่คือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดสำคัญสำหรับเด็ก เด็กแต่ละคนจะมีวิธีการเล่นซึ่งพัฒนามาจากขั้นตอนการเล่น
ซึ่งเรียกว่า พฤติกรรมการเล่น การเล่นของเด็กอาจเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ และความพร้อมของเด็ก ซึ่งสามารถแบ่งพฤติกรรมการเล่นของเด็กได้แบบ ดังนี้
1.การเล่นเลียนแบบ (Imitation) การเล่นเลียนแบบเป็นการสะท้อนให้ผู้อื่นเห็นและทราบถึงการรับรู้สิ่งแวดล้อมต่างๆ ของเด็ก
2.การเล่นสำรวจ (Exploration) 
3.การเล่นทดสอบ (Testing) 
4.การเล่นสร้าง (Construction) 
ความต้องการของเด็ก และช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ  ตลอดจนการเรียนรู้ทางด้านจริยธรรม และช่วยให้เด็กได้รับความสนุกสนาน เด็กทุกคนจะเล่นทุกอย่างที่เขาพอใจ การเล่นจึงมีบทบาทและอิทธิพลต่อการพัฒนาการด้านต่างๆ สำหรับเด็ก ดังนี้
1.การเล่นกับการพัฒนาการด้านร่างกาย การเล่นช่วยพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก ได้แก่ มือ นิ้ว มือ ประสาทสัมพันธ์ระหว่างมือ กับตา ดังนั้น จึงควรจัดของ
2.การเล่นกับการพัฒนาการด้านสังคม การเล่นสอนให้เด็กมีเหตุผล รู้วิธีเล่นร่วมกับผู้อื่น หรือการอยู่ ร่วมกับผู้อื่น มีการให้อภัย ฝึกการให้รู้จักความสามัคคีทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม รู้จักเสียสละ 
4.การเล่นช่วยให้เด็กได้เข้าใจธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ถ้าโรงเรียนมีต้นไม้ให้เด็กสังเกต เช่น สังเกต  พืช และสัตว์
5.การเล่นเป็นการเรียนรู้ที่หลากหลาย เป็นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก เช่น การเล่นบล็อก การเล่นสรรค์สร้าง ซึ่งเป็นการเล่นที่เปิดโอกาส


ภาพกิจกรรม




ประเมินอาจารย์ : เนื้อหาที่สอนน่าสนใจ มีการยกตัวอยางให้เห็นภาพ มีการแนะนำ
ประเมินเพื่อน : ตั้งใจเรียน และตั้งใจทำงาน เข้าเรียนตรงเวลา มีความมุ่งมั่นในการทำงาน
ประเมินตนเอง : ตั้งใจทำงาน มุ่งมั่นในการทำงาน







วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

บันทึกการเรียนครั้งที่ 3

วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563
เวลา 12.30-16.30


ความรู้ที่ได้รับ

      อาจารย์พูดถึงเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ว่่ามีกระบวนการแก้ปัญหาอย่างไรบ้างและ ให้ทำกิจกรรม 3 กิจกรรม คือ วาดต่อเติม เเบ่งกลุ่มทำสร้างสรรค์เรือ สร้างสรรค์แม่ย่านางบนเรือโดยใช้กระดาษหนังสือพิมพ์

การจัดการเรียนรู้แบบแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เป็นแนวทางการแก้ปัญหาวิธีหนึ่ง ซึ่งได้ผ่านการศึกษาและวิจัยมา เป็นกระบวนการแก้ปัญหาที่อิงกับสาระการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยฝึกให้นักเรียนได้ทำความเข้าใจกับปัญหา ฝึกการมองปัญหาโดยใช้ทั้งความรู้สึก และมุ่งแก้ปัญหา ทำให้การดำเนินการแก้ปัญหามีประสิทธิภาพ จึงน่าจะเป็นแนวทางให้ครูได้ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และการเรียนรู้ต่อไป

ขั้นตอนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

ขั้นที่ 1 การเข้าถึงปัญหา 
ขั้นที่ 2 การคิดวิธีการแก้ปัญหา
ขั้นที่ 3 การเลือกและเตรียมการ 
ขั้นที่ 4 การวางแผนการแก้ปัญหา 
ขั้นที่ 5 การลงมือปฏิบัติ 

บรรยากาศในการเรียน


วาดภาพต่อเติม


สร้างเรือตามจินตนาการ




เเต่งตั้งเเม่ย่านางประจำเรือ






ประเมินอาจารย์ : อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย น่าสนใจและสามารถไปใช้กับเด็กปฐมวัยได้
ประเมินเพื่อน : แต่งกายเรียบร้อย เข้าเรียนตรงเวลา สนใจในการเรียนและการทำกิจกรรม
ประเมินตนเอง : มีความตื่นเต้นที่ได้ทำกิจกรรมที่อาจารย์นำมา ตั้งใจทำงานที่ได้รับมอบหมาย






วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม 2563
เวลา 12.30-16.30


ความรู้ที่ได้รับ

วันนี้เรียนเรื่อง ความคิดสร้างสรรค์ ความหมาย ความสำคัญ องค์ประอบของความคิดสร้งสรรค์และหลังจากนั้นอาจารยก็ให้จับกลุ่มทำท่าต่างๆที่เราสร้างสรรค์ออกมา


ความคิดสร้างสรรค์

(Creative thinking)
ความคิดสร้างสรรค์ คือ กระบวนการคิดของสมองซึ่งมีความสามารถในการคิดได้หลากหลายและแปลกใหม่จากเดิม โดยสามารถนำไปประยุกต์ทฤษฎี หรือหลักการได้อย่างรอบคอบและมีความถูกต้อง จนนำไปสู่การคิดค้นและสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่หรือรูปแบบความคิดใหม่     
การคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
              กิลฟอร์ด ได้กล่าวถึงบุคลิกภาพของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ว่า จะต้องมีความฉับไวที่รู้ปัญหาและมองเห็นปัญหา มีความว่องไวและสามารถจะเปลี่ยนความคิดใหม่ๆได้ง่าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการแก้ปัญหาเป้นกิจกรรมที่สำคัญยิ่งของชีวิตที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วงจึงจะทำให้ชีวิตสามารถดำเนินไปได้อย่างมีความสุข ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ โดยปกติคนเราทั่วไปมักเลือกวิธีการที่จะเลี่ยงปัญหามากกว่าการเผชิญปัญหา  ซึ่งถ้าคนเรารู้จักที่จะเรียนรู้การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็จะมีชีวิตที่สนุกสนานร่าเริงและความสุขมากยิ่งขึ้น

              องค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์นี้ได้รับอิทธิพลมาจากทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด (Guilford. 1967 : 62) ซึ่งเชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองที่คิดได้อย่างซับซ้อน กว้างไกล หลายทิศทาง หรือที่เรียกว่า คิดอเนกนัย (Divergent thinking) ซึ่งประกอบด้วย ความคิดริเริ่ม (Originality) ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) ความคิดละเอียดลออ(Elaboration)

         Guilford (1967 : 145-151) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ไว้ดังนี้

          1. ความคิดริเริ่ม (Originality) หมายถึง ความคิดแปลกใหม่ไม่ซ้ำกันกับความคิดของคนอื่น และแตกต่างจากความคิดธรรมดา ความคิดริเริ่มอาจเกิดจากการคิดจากเดิมที่มีอยู่แล้วให้แปลกแตกต่างจากที่เคยเห็น หรือสามารถพลิกแพลงให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิด ความคิดริเริ่มอาจเป็นการนำเอาความคิดเก่ามาปรุงแต่งผสมผสานจนเกิดเป็นของใหม่ ความคิดริเริ่มมีหลายระดับซึ่งอาจเป็นความคิดครั้งแรกที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครสอนแม้ความคิดนั้นจะมีผู้อื่นคิดไว้ก่อนแล้วก็ตาม
          2. ความคิดคล่องแคล่ว (Fluency) หมายถึง ปริมาณความคิดที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องเดียวกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้
              2.1 ความคล่องแคล่วทางด้านถ้อยคำ (Word Fluency) เป็นความสามารถในการใช้ถ้อยคำอย่างคล่องแคล่ว
              2.2 ความคิดคล่องแคล่วทางด้านการโยงสัมพันธ์ (Associational Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดหาถ้อยคำที่เหมือนกันได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ภายในเวลาที่กำหนด
              2.3 ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก (Expression Fluency) เป็นความสามารถในการใช้วลีหรือประโยค กล่าวคือ สามารถที่จะนำคำมาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยคที่ต้องการ
              2.4 ความคล่องแคล่วในการคิด (Ideational Fluency) เป็นความสามารถที่จะคิดค้นสิ่งที่ต้องการภายในเวลาที่กำหนด เช่น ใช้คิดหาประโยชน์ของก้อนอิฐให้ได้มากที่สุดภายในเวลาที่กำหนดซึ่งอาจเป็น 5 นาที หรือ 10 นที
          3. ความคิดยืดหยุ่น (Flexibility) หมายถึง ประเภทหรือแบบของการคิดแบ่งออกเป็น
               3.1 ความคิดยืดหยุ่นที่เกิดขึ้นทันที (Spontaneous Flexibility) เป็นความสามารถที่จะพยายามคิดได้หลายทางอย่างอิสระ ตัวอย่างของคนที่มีความคิดยืดหยุ่นในด้านนี้จะคิดได้ว่าประโยชน์ของหนังสือพิมพ์มีอะไรบ้าง ความคิดของผู้ที่ยืดหยุ่นสามารถจัดกลุ่มได้หลายทิศทางหรือหลายด้าน เช่น เพื่อรู้ข่าวสาร เพื่อโฆษณาสินค้า เพื่อธุรกิจ ฯลฯ ในขณะที่คนที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะคิดได้เพียงทิศทางเดียว คือ เพื่อรู้ข่าวสาร เท่านั้น
              3.2 ความคิดยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลง (Adaptive Flexibility) หมายถึง ความสามารถในการดัดแปลงความรู้ หรือประสบการณให้เกิดประโยชน์หลายๆ ด้าน ซึ่งมีประโยชน์ต่อการแก้ปัญหา ผู้ที่มีความยืดหยุ่นจะคิดดัดแปลงได้ไม่ซ้ำกัน
          4. ความคิดละเอียดละออ (Elaboration) หมายถึง ความคิดในรายละเอียดเป็นขั้นตอน สามารถอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน หรือเป็นแผนงานที่สมบูรณ์ขึ้น ความคิดละเอียดละออจัดเป็นรายละเอียดที่นำมาตกแต่ง ขยายความคิดครั้งแรกให้สมบูรณ์ขึ้น



รูปในการเรียน


























และเป็นกิจกรรมสร้างเรือตามจินตนาการ



ประเมินอาจารย์ : อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา เนื้อหาน่าสนใจ มีการให้ทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
ประเมินเพื่อน : เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจเรียน มีความสนใจและมุ่งมั่นในการทำกิจกรรม สนุกสนานเพลิดเพลิน
ประเมินตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม







วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2563

บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 1

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2563 
เวลา 12.30-16.30



ความรู้ที่ได้รับ

วันนี้เป็นการเรียนวันเเรก อาจารย์ได้สอนเรื่อง ทักษะการคิด ว่ามีรูปแบบอะไรบ้าง เเต่ละทักษะเป็นอย่างไร มีทักษะไหนบ้าง ดังนี้

การคิด (Thinking skill) เป็นกิจกรรมที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูลแก้ปัญหาตัดสินใจและสร้างแนวคิดใหม่ ๆ เรามักจะใช้ทักษะการคิดเมื่อพยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์  การจัดระเบียบข้อมูล  การเชื่อมต่อคำถาม  การคิดวางแผนหรือตัดสินใจว่าจะทำอะไร




ทักษะการคิด (Thinking skill) มีรูปแบบต่างๆ ได้แก่

1. การคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking)  หมายถึง กระบวนการคิดในรูปแบบใหม่ๆ ความสามารถในการรับรู้ความคิดใหม่ ๆ และนวัตกรรมโดยแยกออกจากความคิดทฤษฎีกฎและขั้นตอนการทำงาน มันเกี่ยวข้องกับการวางสิ่งต่างๆด้วยกันในรูปแบบใหม่และจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์มักเรียกกันว่า "การคิดนอกกรอบ"

2. การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical thinking) หมายถึง กระบวนการคิดในรายละเอียด ความสามารถในการแยกแยะส่วนต่างๆออกเป็นส่วนพื้นฐาน หรือส่วนย่อยๆ เพื่อตรวจสอบและวิเคราะห์ความเชื่อมโยง หรือความสัมพันธ์ของส่วนประกอบต่างๆ  เป็นการคิดในเชิงตรรกะทีละขั้นตอนเพื่อแบ่งระบบข้อมูลขนาดใหญ่ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อมาวิเคราะห์หาสาเหตุ หรือเป้าหมายที่ต้องการ

3. การคิดเชิงอย่างมีเหตุผล (Critical thinking) หมายถึง กระบวนการคิดโดยใช้วิจารณญาณหรือการตัดสินอย่างมีเหตุผลรอบด้าน  โดยใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ประเด็น รวมทั้งการรวบรวมข้อมูลต่างๆรอบด้าน การสำรวจองค์ประกอบอื่น ๆ ที่อาจมีอิทธิพลต่อข้อสรุป เพื่อตรวจสอบพิจารณา ตัดสินและประเมินความถูกต้อง หรือสิ่งที่เป็นประเด็นในขณะนั้นๆ ให้แม่นยำ

4. การคิดเชิงกลยุทธ์ (strategic thinking) หมายถึง กระบวนการคิด โดยการวิเคราะห์และประเมินเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง และแนวทางการปฏิบัติ เพื่อตัดสินใจให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการอย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สถานการณ์ของโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

5การคิดเชิงบวก (Positive thinking) หมายถึง กระบวนการคิดและเข้าใจในสิ่งที่เป็นทั้งด้านบวกและด้านลบ  แล้วหาเรื่องราวดีๆ หรือมุมบวก ในเหตุการณ์หรือสิ่งต่างๆ ที่ได้พบเจอ   เพื่อยอมรับ เรียนรู้ ปรับปรุงแก้ไข และให้เราเติบโตขึ้น

6การคิดเชิงนวัตกรรม (Innovative thinking) หมายถึงกระบวนการคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆและนวัตกรรม จากทักษะและกระบวนการคิดแบบต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อผู้คน สังคม โลก ออกมาเป็นรูปธรรม และสามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้


7การคิดเชิงระบบ (System thinking) หมายถึง กระบวนการคิดอย่างเป็นขั้นตอน การมองภาพรวมอย่างเป็นระบบ มีส่วนประกอบย่อยๆ มีขั้นตอน และรายละเอียดแยกย่อยออกมา และเชื่อมโยงกับระบบต่างๆ

หลังจากนั้นอาจารย์ก็เเจกกระดาษมาให้วาดรูปต่อเติม

    รูปในการเรียนวันนี้





ประเมินอาจารย์ : มีการยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น มีการทำกิจกรรมทีหลากหลายเหมาะกับการคือสร้างสรรค์
ประเมินเพื่อน : เข้าเรียนตรงเวลา สนใจในการเรียนการทำกิจกรรม
ประเมินตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา ตั้งใจทำกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย